ท่อนเดียว
วินเขียนนิยายไปได้หนึ่งประโยคแล้วเขาก็หยุดเขียน สายตาจับจ้องไปที่ตัวอักษรบนกระดาษ เขาเอาหน้าเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ วินถอยหลังกลับมานั้งแล้วเอานิ้วกระแทกไปที่ปุ่มนึงบนเครื่องพิมพ์ดีด ปุ่มตัวอักษร L ค้างลงไป เขาเอานิ้วค่อยๆงัดก้านเหล็กกลับเข้าที่เดิม ตัดสินใจที่จะพิมพ์ประโยคที่สอง แต่อีกเจ็ดตัวต่อมาที่พิมพ์ไปอย่างรวดเร็วไม่ติดลงบนกระดาษเลย วินเลื่อนแป้นพิมพ์กลับมาตรงกลางเหมือนเดิมแล้วลองพิมพ์อีกรอบ คราวนี้ช้าและเน้น แต่อีกครั้ง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วินถอนหายใจ เขาหันไปมองเศษกระดาษที่กองพูดจนล้นออกมาจากถังขยะที่อยู่ใต้โต๊ะ ก่อนหน้าที่จะได้ประโยคที่ต้องการ เขาใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงไปกับการค้นหาท่อนหนึ่งท่อน เขาเคยมีประสบการ์ณนึกท่อนเริ่มไม่ออกมาก็หลายต่อหลายครั้ง ในหลายต่อหลายเรื่องที่เขาเคยเขียน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ใช้เวลานานผิดปกติ
ไอ้เครื่องพิมพ์ดีดเฮ็งซวย วินรู้สึกว่าอยากจะเอาไม้อะไรซักอย่างฟาดลงไปตรงกลางตัวเครื่อง หรือคิดอีกที เขาอยากจะยกมันออกไปข้างนอกแล้วปามันลงไปในเหว วินอ่านยี่ห้อที่เห็นได้อย่างเด่นชัด Underwood ชื่อมันฟังดูดีมากๆ ซึ่งก็เข้ากันกับรูปลักษณ์ย้อนยุคของมัน มาคิดอีกที เขารู้สึกว่า สภาพของมันดูเหมือนของใหม่ ถ้ามันเป็นของเก่าจริงๆ เจ้าของคนเก่าคงจะดูแลมันมาเป็นอย่างดี สีดำเข้มตัดกับสีเงินของเหล็กทำให้วินนึกถึงจักรเย็บผ้าที่ครั้งนึงยายของเขาเคยใช้
ไม่รู้จะทำยังไงต่อ เขาดึงกระดาษที่ตอนนี้มีหมึกติดอยู่หนึ่งประโยคออกมาจากตัวเครื่อง แล้วเอามันมาหนีบติดไว้บนลวดริมหน้าต่าง กระดาษแกว่งไปมาเล็กน้อยก่อนจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ทันทีที่เซียร่าตื่น เขาพาเธอขับรถเข้าไปในเมือง
" นายขายคอมพิวเตอร์ไปทำไมล่ะ " เซียร่าถามขึ้นในระหว่างที่วินกำลังขับรถ วันนี้เธอใส่เสื้อเชิตสีขาวกับกระโปรงลายกรีบสีดำ บนหน้าของเธอมีแว่นตากันแดดไม่มียี่ห้อที่วินเคยซื้อให้เป็นของขวัญ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง วันนี้เธอดูเหมือนจะผ่อนคลายไปกับบรรยากาศรอบๆ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาริมถนน ร้านพิซซ่ากำลังวุ่นอยู่กับลูกค้าที่ต่อแถวยาวออกมานอกร้าน เด็กผู้ชายสองพี่น้องกำลังหยอกล้อกัน ชายใส่เสื้อกล้ามสีฟ้ากำลังเปิดตู้เพื่อหยิบหนังสือพิมพ์ เสียงเปิดประตูของรถเมล์ เสียงตะโกนของใครบางคนที่ดังมาจากไกลๆ กลิ่นของกาแฟที่ลอยโชยมาจากที่บางแห่ง เซียร่ายื่นมือขวาออกมาจากตัวรถแล้วเอามือลู่ไปตามลม
มีหลายเหตุผลที่ทำให้วินต้องขายแม็คบุ๊คที่เขาทนผ่อนมาเป็นเวลาหลายเดือน อย่างแรกเลยคือ เขาต้องการเงิน ถึงเขาจะรู้สึกเสียดายเพลงที่เขาโหลดเก็บเอาไว้ในเครื่อง และรู้สึกเสียดายรูปภาพที่เขาถ่ายเก็บเอาไว้มากมาย แต่วินไม่ได้ไตร่ตรองในจุดนั้นมากนัก ถ้าเกิดเขาอยากดูรูปเหล่านั้นอีกครั้ง เขาก็แค่ต้องหาทางเข้าไปในเว็ปรวมรูปภาพที่เขาเคยสมัครไว้ตั้งนานแต่ไม่ค่อยได้เข้าไปใช้บริการ และถ้าเขารู้สึกอยากจะฟังเพลงจริงๆ เขาก็แค่หาทางเข้าไปฟังในยูทูป วินไม่ค่อยได้ฟังเพลงใหม่ๆอยู่แล้ว เขารู้สึกว่ามีวงดนตรีใหม่ๆออกมาเยอะเกินไปจนเขาตามฟังไม่ทัน ส่วนมากเขาจะฟังวิทยุเวลาขับรถ ไม่คลื่นเพลงแจ๊สก็เพลงคลาสสิก
เหตุผลอย่างที่สองคงเป็นเพราะว่าเขาอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ไอ้นิสัยชอบเปลี่ยนบรรยากาศของเขาเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างนึงที่เซียร่ายังไม่เข้าใจจนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่เธอพยายามจะอธิบายบุคลิกของวินให้เพื่อนเธอฟัง เธอพบว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะวินเหมือนกับกังหันลม ถ้าลมพัดไปทางซ้าย เขาจะหมุนซ้าย ถ้าลมพัดไปทางขวา เขาจะหมุนขวา และถ้ามันหยุดนิ่ง เขาจะอยู่เฉยๆ จะมีช่วงเวลาที่วินสุขุม รอบคอบ สงบ รักธรรมชาติ รักอิสระ และใช้ชีวิตที่ปราศจากการลุ่มหลงใดๆทั้งปวง แต่ก็จะมีช่วงเวลา ที่วินหลุมหลงไปกับสีสันและความสวยงาม สะเพร่า ไม่คิดหน้าคิดหลัง รักสนุก ชอบการผจญภัย ชอบความท้าทาย ชอบความสะดวกสบาย นั้นอาจจะเป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้เขาดูเหมือนจะสับสนในตัวเองอยู่ตลอดเวลา
" เครื่องพิมพ์ดีดอันนี้แม่งใช้โครตยากเลยว่ะ ฉันไม่ชินกับมันเลย " วินตอบแบบไม่หันมามอง เขาเปิดไฟเลี้ยวซ้าย แล้วหมุนพวงมาลัย
สมัยที่ยังเรียนอยู่ จะมีช่วงเวลาที่วินชอบเข้ามาเดินเล่นในเมือง จริงๆแล้วเขาชอบความวุ่นวายในเมือง สิ่งที่ความสงบให้เขาไม่ได้คือการได้รับรู้ถึงพลังอันล้นหลามของผู้คน ถ้ามีเวลา เขาจะเข้ามาเดินถ่ายรูปตามที่ต่างๆ ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง ร้านขายของ ร้านอาหาร และก็สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุด ถ่ายรูปผู้คนที่เดินผ่านไปมา วินชอบสังเกตุพฤติกรรมของผู้คน มันทำให้เขารู้สึกเติมเต็ม ถึงคนส่วนใหญ่ที่เขาเจอจะแตกต่างและนิสัยไม่ดี หรือบางครั้งทำให้เขารู้สึกเศร้าหรือโมโห แต่ลึกๆวินก็ยังชื่นชมในการเป็นอยู่ของพวกเขา
จุดประสงค์อีกอย่างของการเดินเล่นในเมือง คือสิ่งที่เขาเรียกว่า "การรู้สึก" ไอ้สิ่งแปลกๆที่มักจะเกิดขึ้นกับเขานานๆที เวลาที่ไปเจออะไรสวยงามหรืออะไรบางอย่างที่มีแรงดึงดูด ในช่วงเวลาที่สายลมเย็นพัดผ่าน แสงแดดจ้าส่องลงมากระทบกับใบไม้ ความร้อนของแสงแดดที่กำลังระเหยน้ำที่นองอยู่บนถนน เฉพาะบางครั้งและครั้งที่พิเศษจริงๆ วินจะหลุดเข้าไปในอีกโลกนึงทันที โลกแห่งนั้นอาจจะเป็นความทรงจำในวัยเด็กที่เขาเคยรดน้ำต้นไม้ให้แม่ หรือ อาจจะเป็นที่ไหนสักแห่งที่ไม่มีอยู่จริง
กลิ่น วินรู้สึก เป็นปัจจัยที่นำพาเขาหลุดเข้าไปในโลกแห่งจินตนาการมากที่สุด มีอยู่ครั้งนึง ที่เขากำลังนอนกลางวันอยู่บนเตียงและหน้าต่างถูกเปิดแง้มเอาไว้ มีกลิ่นของข้าวโพดคั่วลอยเข้ามาจากห้องข้างๆ วินที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น ถูกรมด้วยกลิ่นจนเผลอหลับไป
ก่อนที่จะหลับ ภาพของสวนสนุกเข้ามาหาเขา สวนสนุกที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กๆที่ออกมาจากใจจริง เขาเดินไปเรื่อยๆ เดินวนไปวนมา ขึ้นเครื่องเล่นทุกประเภทที่เขาเจอ ซื้อฮอทด็อกและข้่าวโพด นั้งพักตรงเก้าอี้นั้ง แล้วสังเกตุพฤติกรรมของคนในชุดกระต่ายตัวใหญ่ที่คอยเดินจับมือกับเด็กๆ แต่เหตุการ์ณแบบนั้นจะเกิดขึ้นนานๆที และทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น วินอยากจะหยุดความรู้สึกเหล่านั้นไว้ แต่เขาไม่เคยทำได้ เขาเคยลองเขียนมันลงบนกระดาษ แต่มันไม่เคยตรงตามที่เขารู้สึกจริงๆ
" สวัสดี " ทันทีที่วินกับเซียร่าเปิดประตูเข้าไป ชายตัวเล็กที่อยู่หลังเคาร์เตอร์พูดต้อนรับ แต่แววตาของเขาไม่ได้สนใจไปที่คนทั้งสอง หากเป็นเครื่องพิมพ์ดีดสีดำที่อยู่ในอ้อมแขนของวิน ชายคนนั้นทำตาหรี่เหมือนกับจะอ่านชื่อยี่ห้อที่อยู่บนตัวเครื่อง พอมันมาตั้งอยู่บนเคาร์เตอร์ เขาชะเง้อหน้าขึ้นไปมองที่วิน วินยิ้ม
" สวัสดีครับ ผมเอาไอ้นี่มาซ่อม " วินพูด แต่ชายคนนั้นไม่ตอบ วินสังเกตุใบหน้าของชายคนนั้น น่าจะมีเชื้อสายยุโรป อายุประมาณ50ต้นๆ เขามีแววตาของคนซื่อๆใจดี และมีหนวดเคราสรวยที่ถูกหวีให้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว เกือบจะเหมือนกับ ลีโอ ทอยสตอย บนหน้าปก "คำสารภาพ" เพียงแต่หนวดของแกยังไม่เป็นสีขาวทีเดียว และแกตัวเล็กมากจนวินต้องก้มหน้ามอง
" ขอยืมหน่อย " ชายคนนั้นหมุนตัวเครื่องให้หันหน้าไปทางเขา แล้วบรรจงพิมพ์คำบางอย่างลงไป แต่อักษรตัว L ค้างทันทีที่กดทำให้เขาต้องหยุดกลางคัน ชายคนนั้นกดตัวLซ้ำๆ แล้วก็หยุดพักถอนหายใจ วินยิ้มนิดๆที่ริมฝีปาก เขาเข้าใจความรู้สึก
" รู้สึกว่าหมึกมันจะหมดด้วยครับ " วินพูดพร้อมกับกวาดสายตาไปทางชั้นด้านหลังของชายคนนั้น ในชั้นเต็มไปด้วยอะไหล่ต่างๆของเครื่องพิมพ์ดีด เขาพยายามมองหาแป้นหมึกแต่เขาไม่รู้ว่ามันรูปร่างเป็นยังไง
" เธอรู้รึเปล่าว่านี่คืออะไร " ชายคนนั้นพูดถึงเครื่องพิมพ์ดีดที่วินเอามาด้วย มันก็เป็นเครื่องพิมพ์ดีดไง คงไม่ใช่จักรเย็บผ้าแน่นอน วินนึกในใจ แต่เขายังทำหน้าสงสัย
" เครื่องพิมพ์ดีดมันซ่อมไม่ได้ใช่ไหมครับ มันเกินการเยียวยา " วินตอบ
" ใช่ แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นหลัก เธอรู้รึเปล่าว่านี่คือ Underwood โมเดลเบอร์ 5 ปี 1908 เป็นรุ่นที่หายากมาก และสภาพภายนอกยังดีอยู่ ถึงปุ่มบางปุ่มจะมีปัญหา แต่ราคาซื้อ-ขาย อย่างต่ำต้องประมาณพันเหรียญ " ชายคนนั้นอธิบาย วินหันไปมองเซียร่าที่เดินไปสำรวจเครื่องพิมพ์ดีดอยู่ที่มุมข้างในของร้าน เขาหันกลับมามองที่ชายคนนั้น ฉันซื้อมาแค่ 25 เหรียญเอง วินนึกในใจ
" เอางี้ไหมหล่ะ ถ้าเธอสนใจจะแลก ฉันจะยกเครื่องที่แฟนเธอกำลังด้อมๆมองๆอยู่ พร้อมแถมเงินให้อีก 200 มันใช้งานได้ดีมาก ไม่ต้องห่วง " วินหันไปมองที่เซียร่าอีกครั้ง เธอรู้ตัวว่าวินกำลังมองเพื่อสื่อความหมายอะไรบางอย่าง เธอส่ายหน้าเบาๆสื่อกลับมาว่าเธอไม่เข้าใจ
" ลุงครับ " วินพยายามนึกคำ " ผมขอเป็นเงินทั้งหมดเลยได้ไหมครับ ผมพอและกับการย้อนยุค ผมจะซื้อคอมพิวเตอร์มาใช้เขียนแทน " วินพูด ลุงหยุดคิด
" อะไรทำให้เธอเปลี่ยนใจ เธอเป็นนักเขียนรึ ส่วนใหญ่คนที่ซื้อเครื่องพวกนี้ไป เขาเอาไว้ตั้งโชว์ นอกจากบางทีจะมีพวกศิลปินมาขอเช่าไปถ่ายเป็นปกซีดี เขาบอกว่ามันทำให้เขารู้สึกเท่ แต่ฉันยังไม่เคยเห็นคนที่ซื้อเพื่อจะเอาไว้ใช้เขียนแทนคอมพิวเตอร์ " แกพูดพร้อมหยิบเอาไอแพดขึ้นมาโชว์ " เดี๋ยวนี้คนเขาใช้ไอ้นี่กันแล้ว "
" นั้นแหละครับที่ผมจะสื่อ ผมเลยต้องการเงิน "
" เธอแปลกจริงๆ " ชายคนนั้นหัวเราะ " อะไรที่เธอชอบมากกว่า ความย้อนยุค หรือ ความทันสมัย "
" ผมชอบทั้งสองอย่าง " วินพยายามนึก " ผมถามบ้าง ลุงชอบอะไรมากกว่ากัน การเดิน หรือ การนั้งเครื่องบิน "
" การเดิน หรือ การนั้งเครื่องบิน ? "
" การเดินก็เหมือนกับสิ่งย้อนยุค ใช่ไหมครับ เพราะตั้งแต่มีมนุษยชาติ คนก็เดินมาตลอด และการนั้งเครื่องบิน ก็เหมือนกับความทันสมัย เพราะพึ่งมีมาไม่กี่ศตวรรษ "
" อืมม " ชายคนนั้นทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิด แล้วเขาก็หัวเราะออกมา
" เห็นไหมครับ ลุงก็ชอบทั้งสองอย่าง ขึ้นอยู่กับความจำเป็นและเงิน "
" แต่การเดินทางต่างกับการเขียนนะ ไอ้หนุ่ม การเดินทางนั่นเราจำเป็นต้องเลือกวิธีให้เหมาะสม จะให้ไปปั่นจักรยานลงน้ำมันก็จะกระไรอยู่ หรือวิ่งข้ามโลก มันก็เป็นไปไม่ได้ แต่การเขียนนั่นมันไม่มีสภาพภูมิประเทศมาเป็นตัวกำหนดวิธี เรามีอิสระที่จะเลือกวิธีของเราได้ " ลุงพูดต่ออย่างมีเหตุผล
" ผมไม่เห็นด้วยแค่อย่างเดียวครับ การเขียนจำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมเป็นตัวกำหนด ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ บ้านที่เราอยู่ โต๊ะที่เราใช้ทำงาน เพื่อนที่เราคบ แฟนที่เรามี อาหารที่เรากิน ทุกๆอย่างมันมีผลกระทบต่อคนเขียน โดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว "
" แต่นั้นมันเป็นผลกระทบทางด้านจิตวิทยา เป็นนามธรรมไม่ใช่รูปธรรม "
" ทุกรูปธรรม เกิดจากนามประธรรม "
" อืมม มันก็จริง แต่.. " ลุงพยักหน้าเบาๆพร้อมกับสบตาวิน แต่ดวงตาของวินไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆออกมา ตรงกันข้าม มันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เหมือนดวงตาของเด็ก " แต่..สมมุติว่า ถ้าเธอต้องเลือก ถ้าเธอมีทั้งเครื่องพิมพ์ดีดและคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่บนโต๊ะ เธอจะเลือกอะไร เธอจะใช้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันได้หรือ "
" ผมจะเอาเครื่องพิมพ์ดีดไปตั้งไว้ในป่า แล้วเอาคอมพิวเตอร์ตั้งไว้บนโต๊ะ ผมจะเขียนโดยใช้สิ่งที่สะดวกสบายที่สุดก่อน ทำมันไปเรื่อยๆ แล้วผมรู้ ว่ามันจะมีช่วงเวลา ที่คอมพิวเตอร์ทำให้ผมสะดวกสบายเกินไป มันจะมีช่วงเวลา ที่ผมอยากจะได้ความรู้สึกคลาสสิก ผมจะเข้าไปในป่า แล้วไปนั้งเขียนโดยใช้เครื่องพิมพ์ดีด แล้วพอผมเขียนไปได้สักพัก ผมรู้ว่าป่าจะทำให้ผมกลัว ว่ามันจะมีแมลง ว่ามันจะมีสัตว์ร้าย ว่ามันจะมืดและวังเวง ถึงเวลานั้นผมจะกลับมาบ้าน แล้วมาใช้คอมพิวเตอร์ต่อ แล้วก็เหมือนกับนาฬิกาที่หมุนวนไปวนมา ผมจะสลับความรู้สึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเข้าป่า เดี๋ยวกลับมาบ้าน สลับกันไปเรื่อยๆ
แน่นอนว่าผมพูดในเชิงทฤษฎี แต่ในความเป็นจริงผมคงไม่ทำแบบนั้น ถ้าผมมีคอมพิวเตอร์ ผมก็จะใช้คอมพิวเตอร์ ถ้าผมมีเครื่องพิมพ์ดีด ผมก็จะใช้เครื่องพิมพ์ดีด ผมจะไม่ทำทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน ผมจะทำทั้งสองอย่าง แต่ ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับโอกาสและอารมณ์ หรือบางที ผมอาจจะไม่ทำอะไรเลย ผมอาจจะเลิกใช้เครื่องอะไรเลย แล้วใช้มือจดลงสมุดแทน หรือผมอาจจะไปซื้อเครื่องอัดเทปมา แล้วพูดใส่เทปแทนการเขียน ที่ผมจะสื่อก็คือ ผมชอบทุกอย่าง ทั้งความย้อนยุค ความทันสมัย ความร่วมสมัย ความไม่มีสมัย " วินพูดจนจบ ชายคนนั้นยืนนิ่งไปสักพัก
" ลุง..ครับ " วินเริ่มกังวลที่เห็นชายคนนั้นยืนนิ่งไม่พูดไม่จา
" อืมม เออ.. โอเค นี่ แปดร้อยเหรียญ มากสุดที่ให้ได้ " วินตกลง แกยื่นเงินมาให้ เขารีบขอบคุณ เก็บมันเข้ากระเป๋าสตางค์ แล้วเดินออกมา
.......
บ่ายวันนั้นหลังจากเข้าไปซื้อแมคบุ๊คเครื่องที่ถูกที่สุดมาจากศูนย์แอปเปิ้ล วินและเซียร่าแวะเข้าไปในสตาร์บัค วินสั่งอเมริกาโน่แก้วเล็กพร้อมกับครัวซองเนยสด เซียร่าสั่งแฟรบปูชิโน่รสชาเขียวกับสลัดผัก ทั้งสองนั้งลงตรงมุมเล็กๆติดกระจกที่อยู่ด้านในสุดของร้าน ทันทีที่นั้งลง วินหยิบเอาแมคบุ๊คออกมาเสียบปลั๊กเพื่อชาร์ตแบ็ตเตอร์รี่ เขาเปิดเครื่องแล้วตั้งใจรอ เซียร่ามองวิวด้านนอก
" เก้าอี้นี่มันนั้งยากว่ะ " วินพยายามขยับตัวไปมาเพื่ิอหาท่านั้งที่เขาต้องการ แต่ทุกครั้งที่เขาเอนหลัง มันเอนมากไป พอเขานั้งตรงๆ มันรู้สึกแปลกๆ
" แก อาทิตย์หน้าฉันต้องไปคุยกับลูกค้า เขาโทรกลับมาและ " เซียร่าพูด
" เยี่ยมไปเลย งานอะไร "
" เขาต้องการให้ฉันทำโลโก้และสโลแกนร้านให้ ร้านขายสีทาบ้าน เห็นบอกต้องการสโลแกนที่สั้นๆแต่ได้ใจความ และโลโก้ที่ธรรมดาแต่เน้นสีสันสวยงาม "
" อืมม "
" ไอ้เรื่องกราฟฟิคอะฉันถนัด แต่สโลแกนฉันไม่ถนัดเลยว่ะ แกมีไอเดียบ้างไหม "
" ไม่มีว่ะ ฉันไม่ค่อยได้เข้าไปร้านขายสีเลย "
" นี่แก เพราะใครก็ไม่รู้ ฉันต้องมาทำงานเป็นฟรีแลนซ์ แล้วพึ่งจะมีงานเนี่ยงานแรก ฉันต้องทำให้ได้ "
" ไหนขอดูร้านหน่อย " วินพูดพร้อมยิ้มแสยงๆ เซียร่าทำคิ้วขมวด เธอรีบหมุนคอมพิวเตอร์ให้หันไปหาเธอ พิมพ์อะไรบางอย่าง แล้วหมุนมันกลับมาหาวิน
" เนี่ย " เธอพูด บนจอคอมพิวเตอร์ปรากฎเป็นภาพของเว็ปไซด์ที่มีรูปแบบแสนจะธรรมดา มีชื่อร้านตัวขนาดใหญ่ ถัดลงมาเป็นรูปบรรยากาศภายในร้านที่ให้เห็นแค่กำแพงสองด้าน บนพนังทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยป้ายที่มีเฉดสีต่างๆมากมาย วินคลิ๊กไปที่หัวข้อ about หน้าจอเปลี่ยนเป็นภาพของเจ้าของร้าน เป็นชายตัวใหญ่รูปร่างอ้วนท้วมในชุดจัมเปอร์ยีนต์ ยืนชูนิ้วโป้งพร้อมกับยิ้มหวาน
" น้าแกหน้าตาตลกว่ะ " วินละสายตาจากหน้าจอมาเหลือบมองที่เซียร่า แต่เธอยังคงจ้องมาที่เขาพร้อมกับทำคิ้วขมวด วินยิ้ม เซียร่าไม่ยิ้มตอบ
" โอเคๆ " วินพยายามนึก " บ้านที่สดใส เริ่มที่สีสดใส " วินรอฟัง แต่เซียร่านั้งนิ่งราวกับว่าเธอเป็นตุ๊กตา
" โอเคๆ " วินนึกต่อ " สีแซ่ป " เขารอฟังคำตอบ แต่เซียร่าแค่กระพริบตาสองที
" สีแซ่ปต้องของเรา " เธอยังเงียบ
" สีของเราต้องแซ่ป " ยังเงียบ
" สี.. โอ๊ย… " วินหมดไอเดีย เซียร่ากลั่นหัวเราะไม่อยู่ เธอก้มลงไปหัวเราะพร้อมกับเอามือซ้ายตีไปบนโต๊ะเบาๆ แต่เธอชักมือกลับทันทีด้วยความเจ็บ แผลที่มือซ้ายยังไม่หายดี
" อะไรของเธอวะ " วินหันไปสำรวจรอบๆ ผู้คนหลายคนให้ความสนใจ
" เซียร่า "
" หื้อ "
" ฉันไม่เขียนนิยายดีกว่าว่ะ "
" ยังไง "
" ฉันจะเปลี่ยนมาเขียนเรื่องบทความแทน เกี่ยวกับภาษา "
" มันจะน่าสนใจหรอ "
" ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ดีๆฉันรู้สึกอยากเขียน ฉันว่ามันน่าสนใจ "
" ไหนลองยกตัวอย่างดิ๊ " เซียร่าแกะผ้าพันแผลออกจากมือซ้ายแล้วเอามันใส่ลงไปในกระเป๋า เธอชูมือค้างเอาไว้ในอากาศเผยให้เห็นรอยแผลที่ตอนนี้กลายเป็นสีม่วงเข้ม ทันทีที่เธอรู้ว่าวินกำลังสังเกตุที่มิือเธอ เซียร่าชักมือกลับไปไว้ใต้โต๊ะเหมือนเดิม
" เรียนภาษาของแต่ชาติ เราไม่ได้รู้แค่ภาษา แต่ยังรวมไปถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเอกลักษณ์ของผู้คน ถ้าเธออยากจะเข้าถึงสังคมของประเทศไหนก็ตามนะ สิ่งแรกเธอศึกษาภาษาของประเทศนั้นๆ ถ้าเธอเข้าใจลึกซึ้งนะ เธอไม่ต้องไปศึกษาอะไรเพิ่มอีกเลย ทุกอย่างที่เธออยากรู้ มันมีอยู่ในภาษา "
" ขนาดนั้นเลย "
" อื้อ ยกตัวอย่าง เธอรู้เปล่า คำว่า salary มาจากคำว่า sal ในภาษาลาตินที่แปลว่าเกลือ มันมาจากทหารโรมันสมัยก่อนที่จะได้รับค้าจ้างเป็นเกลือ เพราะเกลือในสมัยนั้นถือว่าเป็นของล้ำค่ามาก มันฆ่าเชื้อก็ได้ เก็บรักษาของสดก็ได้ แถมยังสีสวยอีกด้วย "
" หื้ม "
" และก็ คำว่าเฟอร์นิเจอร์ในภาษาอิตาเลี่ยนคือ mobilia และในภาษาลาติน mobilis "
" ฉันไม่เคยรู้เลย "
" อื้อ ถ้าแปลเป็นอังกฤษ อีกความหมายของมันก็คือ mobile หรือ "เคลื่อนย้ายได้" เพราะคนยุคกลางในยุโรปสมัยก่อนอะ จะต้องย้ายบ้านบ่อยๆ พวกเขาเลยทำเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนต่อไหนได้ "
" โห " เซียร่าทำหน้าตาตื่นเต้น วินรู้สึกว่าเธอมีอาการแปลกๆ
" อีกอันนึงเลย อันนี้ พ่อฉันพูดบ่อยมาก ในภาษาไทย คำว่า กรรม "
" กรรม " เซียร่าพยายามออกเสียง แต่มันฟังเหมือนว่าเธอกำลังพูดถึงหมากฝรั่ง
" พ่อบอกว่าคนไทยติดใช้คำนี้ในแง่ลบ แต่จริงๆแล้วความหมายของมันไม่ใช่แง่ลบ มันไม่ได้หมายความว่า "ความชั่วเก่าในอดีต " แต่จริงๆคำว่า "กรรม" มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต แปลว่า การกระทำ "
" เพราะงั้นในภาษาไทยถึงได้มีคำหลายคำที่ลงท้ายด้วย กรรม เช่น กิจกรรม พฤติกรรม อุตสาหกรรม พินัยกรรม และคำอะไรอื่นๆอีกมากมายที่บ่งบอกถึง การกระทำ "
" อืมม "
" เธอว่าไง ฉันจะเขียนบทความแนวๆนี่แหละ มันอาจจะมีคนเคยทำมาแล้วหรือว่ามันอาจจะไม่เป็นที่สนใจของใครเลย แต่ฉันอยากเขียนมัน "
" เขียนเลย ฉันว่าดี ทำให้สำเร็จ "
" อื้อ "
" แต่ก่อนอื่น นายต้องใช้ความรู้ทางภาษาของนาย นึกสโลแกนร้านนี้ให้ฉันก่อน "
" จะพยายาม "
" อื้อ ไม่ยากหรอก อันนี้ แค่ท่อนเดียว "
No comments:
Post a Comment